หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ไวรัสตัวแรกของโลก ใครเป็นคนสร้างคนแรก???

ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1969) ทีมวิศวกรของ Bell Telephone Laboratories ได้สร้างเกมชื่อว่า “Darwin” ถือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวแรกที่มีรูปแบบของไวรัส โดยฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำ เกมนี้ใช้คำศัพท์บางอย่างที่มีคำว่า “supervisor” มีลักษณะที่กำหนดกฎเกณฑ์การต่อสู้ระหว่างผู้เข้าแข่งขัน โปรแกรม Darwin นี้มีความสามารถที่จะวิจัยสภาพแวดล้อมของมัน ทำสำเนา และทำลายตัวเองได้ จุดประสงค์หลักของเกมนี้ก็คือลบโปรแกรมทั้งหมดที่คู่แข่งเขียนและครอบครองสนามรบ
ต้นปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) มีการตรวจพบไวรัส Creeper ในเครือข่าย APRAnet ของทหารอเมริกา ถือเป็นต้นแบบไวรัสคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โปรแกรม Creeper สามารถเข้าครอบครองเครือข่ายผ่านโมเด็มและส่งสำเนาตัวเองไปที่ฝั่ง remote ไวรัสนี้ทำให้คนรู้ว่าติดไวรัสด้วยการ broadcast ข้อความ “I’M THE CREEPER … CATCH ME IF YOU CAN”
creeper
ปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) โปรแกรมชื่อ “Rabbit” โผล่ขึ้นมาบนเครื่องเมนเฟรมที่เรียกชื่อนี้เพราะมันไม่ได้ทำอะไรนอกจากสำเนาตัวเองอย่างรวดเร็วไปในระบบเก็บข้อมูลชนิดต่างๆ Rabbit นี้ได้ดึงทรัพยากรของระบบมาใช้อย่างมาก ทำให้การทำงานกระทบอย่างรุนแรงจนอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดได้
rich skrenta
ปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) มีการตรวจพบไวรัสชื่อ “Elk Cloner” นั้นเป็นคอมพิวเตอร์ไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรก ซึ่งแพร่กระจาย คือในวงที่กว้างออกไปกว่าภายในห้องทดลองที่สร้างโปรแกรม โปรแกรมนี้ถูกเขียนขึ้นโดย Rich Skrenta โดยไวรัสนี้จะติดไปกับระบบปฏิบัติการ Apple DOS 3.3 ผ่านทาง boot sector ของฟล็อปปี้ดิสก์ ณ เวลานั้นผลของมันทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์บางคนนึกว่าไวรัสคอมพิวเตอร์เกิดจากมนุษย์ต่างดาว เพราะทำให้การแสดงภาพที่จอกลับหัว, ทำตัวอักษรกระพริบ, ขึ้นข้อความต่างๆออกมา
leonard-adleman
Len Adleman
ปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) Len Adleman แห่งมหาวิทยาลัย Lehigh ตั้งคำว่า “Virus” ว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำสำเนาตัวเองได้ และในปีถัดมาใน Information security conference ครั้งที่ 7 Fred Cohen ได้ให้คำจำกัดความของคำ “computer virus” ว่าเป็นโปรแกรมที่สามารถติดต่อไปยังโปรแกรมอื่นโดยการแก้ไขโปรแกรมเดิมเพื่อแพร่ขยายตัวเอง
fred_cohen
Fred Cohen บิดาแห่งไวรัสศาสตร์
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) Fred Cohen บิดาแห่งไวรัสศาสตร์ (Virology) ได้ใช้คอมพิวเตอร์ VAX 11/750 สาธิตว่าโปรแกรมไวรัสสามารถฝังตัวเข้าไปใน object อื่นได้
amjad-and-farooq-alvi
ปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ไวรัสตัวคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ สร้างโดยโปรแกรมเมอร์อายุ 19 ปี ชาวปากีสถาน ชื่อ Basit Farooq และพี่ชายชื่อ Amjad เรียกชื่อ “Brain” ที่มีเป้าไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM Compatible ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการรู้ระดับของซอฟต์แวร์เถื่อนในประเทศตัวเอง แต่โชคไม่ดีที่การทดลองนี้หลุดออกมานอกประเทศ
ปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) โปรแกรมเมอร์ชาวเยอรมันชื่อ Ralf Burger พบวิธีตรวจจับโปรแกรมที่ copy ตัวเองโดยการเพิ่ม code บางตัวเข้าไปใน ไฟล์ COM version ที่ใช้ทดลองชื่อ Virdem ถูกนำมาแสดงในเดือนธันวาคม ที่ Hamburg เป็น forum ที่เหล่า hacker ที่ชำนาญในการ crack ระบบ VAX/VMS มารวมตัวกันชื่อ “Chaos Computer Club”
Franz Svoboda
 Franz Svoboda
ปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) เกิดไวรัสระบาดที่ เวียนนา เป็นไวรัสที่ทำลายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรกที่ทำงานเต็มระบบ ส่งผลกระทบไปเกือบทั่วโลก ที่มาของไวรัสนี้เป็นประเด็นถกเถียงกันมาก เพราะคนที่อ้างว่าเป็นคนเขียนคือ Franz Svoboda แต่เมื่อสืบไปจึงพบว่าเขารับมาจาก Ralf Burger ซึ่งก็อ้างว่ารับมาจาก Svoboda เดิมชื่อไวรัสคือ “lovechild” แต่เพราะไม่สามารถหาคนให้กำเนิดได้จึงถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “orphan” (ลูกกำพร้า)
ปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) เดือนธันวาคม เกิดการระบาดใต้ดินครั้งแรกในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ชื่อ “Christmas Three” วันที่ 9 ไวรัสหลุดมาจาก เครือข่าย Bitnet ของมหาวิทยาลัย Western University ประเทศเยอรมนี ทะลุเข้าไปใน European Acadamic Research Network (EARN) และเข้าไป เครือข่าย IBM-Vnet เป็นเวลา 4 วัน เครื่องที่ติดไวรัสจะแสดงผลที่หน้าจอเป็นรูปต้นคริสต์มาสต์ และส่งไปให้ผู้ใช้อื่นๆในเครือข่าย
Peter Norton
Peter Norton
ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) Peter Norton programmer ที่มีชื่อเสียง ผู้ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Symantec ได้ออกมาประกาศว่าไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องไร้สาระ โดยเปรียบว่าเป็นแค่จระเข้ที่อยู่ในท่อระบายน้ำเสียในนิวยอร์ก แต่ในที่สุดเขาเป็นผู้ที่ได้เริ่มต้น project Norton-AntiVirus
Ken_Van_Wyk_opt
Ken Van Wyk
ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) วันที่ 22 เดือนเมษายน เกิด forum ที่ถกกันเรื่อง security threat เป็นครั้งแรก ชื่อ Virus-L host ไว้ที่ Usebet สร้างโดย Ken Van Wyk เพื่อร่วมงานของ Fred Cohen ที่มหาวิทยาลัย Lehigh
ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) เดือนตุลาคม มีการแพร่ข่าวไวรัสชื่อ Mr. “Rochenle” อย่างมากเป็นไวรัสประเภทหลอกลวง (HOAX) เป็นตัวแรก อ้างถึงชื่อบุคคลที่ไม่มีตัวตนชื่อ Mike RoChenle (“Microchannel”) อ้างว่าไวรัสนี้สามารถส่งตัวเองไประหว่างโมเด็มด้วยความเร็ว 2400 bps ทำให้ความเร็วโมเด็มลดลงเหลือ 1200 bps และได้อธิบายวิธีการแก้ไขที่ไม่ได้มีผลอะไร แต่มีคนหลงเชื่อทำตามกันอย่างมากมาย
morris300
Robert Morris 
ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) เดือนพฤศจิกายน มีหนอนเครือข่ายชื่อ “Morris” ระบาดอย่างหนักทำให้คอมพิวเตอร์กว่า 6000 เครื่องในอเมริการวมทั้งใน ศูนย์วิจัยของ NASA ติดไปด้วย ส่งผลกระทบให้การปฏิบัติงานหยุดโดยสิ้นเชิง เหตุเนื่องจากมี error ใน code ของ Morris ทำให้มัน copy ตัวเองไปที่เครือข่ายอื่นอย่างไม่จำกัดทำให้เครือข่ายรับไม่ไหว การระบาดครั้งนั้นทำให้สูญเสียเป็นมูลค่ากว่า 96 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา: http://theroomxat.ueuo.com

ผู้สร้างเมาส์คนแรก อำลาโลกด้วยวัย 88

ผู้สร้างเมาส์คนแรก อำลาโลกด้วยวัย 88
ผู้สร้างเมาส์คนแรก อำลาโลกด้วยวัย 88

นาย Douglas Engelbart เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีจำนวนมากในวงการคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ อย่างหน้าจอแบบกราฟิก และเมาส์ เสียชีวิตที่บ้านของเขาด้วยวัย 88 ปี ในเมืองอาเธอร์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย ตามรายงานของ Time
ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตภรรยาของเขาอธิบายว่าเกิดจาก คือภาวะไตวาย ซึ่งก่อนหน้านี้เขาป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เมื่อปี 2007
ผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาคือการสร้าง ‘เมาส์’ ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวัน โดยมันถูกพัฒนาครั้งแรกในช่วงปี 1960 และได้รับการจดสิทธิบัตรในปี 1970
เมาส์ต้นแบบประกอบไปด้วยเปลือกไม้ที่มีลูกบอลโลหะสองลูกอยู่ด้านใน โดยลูกหนึ่งสำหรับแกน X และลูกหนึ่งสำหรับแกน Y
แต่เมาส์ก็ยังไม่ได้นำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จนถึงปี 1983 เขาตัดสินใจขายสิทธิบัตรให้กับ Apple ในราคา 40,000 เหรียญ หรือ ราว 1,200,000 บาท
ซึ่งอีก 3 ปีต่อมา สิทธิบัตรเมาส์ดังกล่าวก็ได้หมดอายุลงและได้กลายมาเป็นสิ่งประดิษฐ์สาธารณะ และ นับตั้งแต่กลางยุค 1980 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มีเม้าส์ขายไปแล้วมากกว่า 1 พันล้านอัน
ผู้สร้างเมาส์คนแรก อำลาโลกด้วยวัย 88
ผู้สร้างเมาส์คนแรก อำลาโลกด้วยวัย 88

7 เทคนิคเทพๆ สร้าง “รหัสผ่าน” ป้องกันบั๊กและเหล่าแฮ็คเกอร์

เมื่อต้นสัปดาห์ ได้มีการค้นพบบั๊กที่ชื่อว่า Heartbleed ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถล้วงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ออกมาจากซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ บั๊กดังกล่าวนั้นอันตรายมากกว่าบั๊กที่พบตามปกติซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยวิธี การอัพเดทเวอร์ชั่น โดยมันจะมีผลกับการทำงานของ OpenSSL ซึ่งเป็นกระบวนการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยที่ใช้ในเว็บไซต์ทั่วๆ ไป เช่น Google และ Facebook แม้ว่า OpenSSL ได้ปล่อยตัวอัพเดทเพื่อแก้ปัญหาฉุกเฉินแล้ว วันนี้ Brand Buffet ยังมีเคล็ดลับง่ายๆในการตั้งพาสเวิร์ด เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณนั้นปลอดภัยอีกทางหนึ่ง

1. สร้างรหัสผ่านให้ยาวขึ้น
ยิ่งรหัสผ่านของคุณยาวมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น ทาง Microsoft ได้แนะนำให้สร้างรหัสผ่านโดยประกอบด้วยแปดอักขระเป็นอย่างน้อย

2. สุ่มใช้ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์
แม้รหัสผ่านจะยาว แต่กลับเป็นคำหรือประโยคที่ง่ายต่อการคาดเดาก็อาจจะไม่ปลอดภัย ฉะนั้น จึงเป็นการดีกว่าหากรหัสผ่านจะประกอบด้วยการผสมกันระหว่างตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ และเล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อของคุณหรือชื่อบริษัท หากเป็นไปได้ให้พยายามสร้างรหัสผ่านจากคำที่ไม่มีอยู่จริง

3. สะกดคำผิดๆ
หากต้องการใช้คำหรือประโยค การสะกดคำผิดจะทำให้เดารหัสผ่านได้ยากขึ้น วิธีนี้ทำได้โดยการแทนที่ตัวหนังสือด้วยสัญลักษณ์หรือตัวเลข เช่น “I love soccer” เปลี่ยนเป็น “1LuvSoCC3r!1”

4. อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกับหลายๆ บัญชี
หากใช้รหัสผ่านเดียวกันทั้งหมด แฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในทุกๆ บัญชีของคุณเมื่อเขาได้ค้นพบรหัสผ่านแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้น รหัสผ่านของแต่ละบัญชีควรจะต้องแตกต่างกัน

5. หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านดังต่อไปนี้ 
รหัสผ่าน เช่น “abc1234” “password” “admin” “iloveyou” และ “aaaaaa” ไม่ควรใช้ เนื่องจากเป็นรหัสผ่านที่ใช้กันบ่อยมาก ข้อมูลดังกล่าวได้รับการยืนยันหลังจากที่ระบบของ Adobe ถูกแฮกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
6. คิดประโยคขึ้นมาเอง
อีกวิธีที่ดีมากสำหรับการสร้างรหัสผ่านให้เดายากขึ้น คือ ให้นึกประโยคหนึ่งที่จำง่ายขึ้นมา เช่น “My favorite animal is the koala bear” และใช้เพียงแค่อักษรตัวแรกของแต่ละคำ ลบเครื่องหมายวรรคตอน สุดท้ายแทนที่ตัวอักษรบางตัวด้วยตัวเลขเพื่อเพิ่มความซับซ้อน จากประโยคตัวอย่างจะได้รหัสผ่านเป็น mFA1tkB!

7. ใช้ตัวช่วยในการสร้างรหัสผ่าน
นอกจากวิธีที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีแอพพลิเคชั่นและบริการมากมายที่ไว้ใจได้ ตัวอย่างเช่น LastPass และ 1Password ซึ่งช่วยรหัสผ่านของคุณปลอดภัยมากขึ้นโดยการคิดค้นและปกป้องรหัสผ่านให้
ที่มา : BusinessInsider
ที่มา : http://www.brandbuffet.in.th/2014/04/7-create-strong-password-tips/

4 เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ในการหางานผ่านทาง Twitter

Twitter เป็นหนึ่งในเครือข่ายทางสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีผุ้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก และกว่า 5 ล้านคนในแอฟริกาใต้ (ตามสถิติที่ออกในช่วงปลาย 2013) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Twitter ได้สร้างสังคมสมัยใหม่และที่แน่นอนได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของยุคดิจิตอล
และเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ดีที่สุดและเครื่องมือสื่อสารที่มีให้กับมนุษยชาติ
Twitter-Logo
คุณรู้ไหมว่าทวิตเตอร์ยังสามารถเป็นประโยชน์ถ้าคุณกำลังมองหางาน วันนี้เราให้คุณมี 4 เคล็ดลับที่ เป็นประโยชน์ที่จะนำคุณไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง
1. Follow @ jobmail บน Twitter: คุณรู้ไหมว่าทวิตตำแหน่งงานล่า สุดที่จะได้รับการโพสต์ในเว็บไซต์ของเราทุกชั่วโมง? นอกจากนี้เรายังทวีตบทความที่เกี่ยวข้องกับการ หางานในบล็อกของเรา คุณอาจจะหางานที่คุณต้องการหรือถ้าคุณรีทวิต (re-tweet) หนึ่ง ในทวิตเตอร์ของเราซึ่งคุณอาจจะช่วยให้คนที่ติดตามคุณอยู่บนทวิตเตอร์ที่จะหางานในฝันของพวกเขา และคุณยังจะได้รับบางคำแนะนำที่มีประโยชน์ไปพร้อมกัน . ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้ทำเช่นนั้นแล้วให้แน่ใจ
ว่าคุณทำตามเราได้ที่ Twitter ผ่าน @ jobmail
2. ตามและมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมของคุณ: ค้นหาที่กูรูและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณและถ้าพวกเขาอยู่ในทวิตเตอร์ การค้นหาใน Google จะทำให้เราเป็นหน้า ประวัติของพวกเขาบน Twitter อย่างรวดเร็ว จำไว้ว่าคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดจะมีบล็อกหรือ เว็บไซต์และการเชื่อมโยงไปยังรายละเอียดของพวกเขาบน Twitter แน่นอน ติดต่อถามคำ ถามหรือขอคำแนะนำกับพวกเขาหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่คุณกำลังเดินทางเข้าและอื่น
3. ใช้การค้นหาขั้นสูงของ Twitter เพื่อมองหางานและอื่น ๆ : ทวิตเตอร์มีฟังก์ชั่นการค้นหา ขั้นสูงที่มีประสิทธิภาพมากและเช่นเดียวกับการค้นหาในGoogle คุณสามารถค้นหาข้อมูล เกือบทุกอย่าง วิธีที่ดีเพื่อดูว่ามีงานไหนอยู่บ้าง คือการพิมพ์ ‘#งาน’ ลงในช่อง hashtag และพิมพ์ ‘แอฟริกาใต้ (หรือชื่อเมือง / เมืองของคุณ) ใน “ใกล้สถานที่แห่งนี้” แล้วคลิกปุ่ม “ค้นหา” . นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้การค้นหานี้เพื่อหาผู้คนที่มีอิทธิพลที่คุณควรทำตาม
4. Follow บริษัทจัดหางานและไซต์งานอื่น ๆ : ทุกวันนี้มีบริษัท RecruitmentAgency จำนวนมากใช้ Twitter เพื่อที่จะติดต่อกับผู้ที่กำลังหางาน ถ้าคุณไม่สามารถ ค้นหาบัญชีของพวกเขาโดยทำการค้นหา Google,ให้ตรวจสอบเว็บไซต์ของพวกเขา ใน แอฟริกาใต้ บริษัท เช่น DAV กลุ่มและ Hire Resolve ก็ใช้ทวิตเตอร์เช่นเดียวกัน
ทีนี้คุณก็มี 4 เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ในการหางานผ่านทาง Twitter เราเชื่อว่าคุณจะพบ ข้อมูลที่มีประโยชน์และที่คุณได้พบงานที่คุณต้องการในเร็วๆ นี้
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก www.jobmail.co.za

4 วิธีกู้ชีพ แบตเตอรี่(เสื่อม)โน้ตบุ๊คสุดรัก ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ท่านเคยประสบปัญหาโน้ตบุ๊คอายุ มากกว่า 2 ปี เจอกับปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม จากจากเดิมที่เคยใช้แบบยาวๆนาน 3 – 4 ชั่วโมงต่อเนื่อง กลับกลายเป็นใช้ได้ 1 – 2 ชั่วโมงบ้างหรือไม่ ถ้าใช่วันนี้ วันนี้เรามีทางแก้
แบตเตอรี่เสื่อม
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คกันก่อนค่ะ สำหรับแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คในปัจจุบันนั้น ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายก็จะมีด้วยกัน 2 ชนิดคือ Lithium-ion หรือ Li-ion แบตเตอรี่มาตราฐานที่นิยมใช้กันทั่วไป ซึ่งมีประสิทธิภาพดี และราคาถูก และ Lithium Polymer หรือ Li-Po ที่เรียกว่าได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เพราะสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้หลากหลาย และมีประสิทธิภาพดี แต่ราคาก็ยังค่อนข้างสูงทีเดียว ซึ่งอย่างไรก็ดีแบตเตอรี่ทั้งสองชนิดนี้นั้นก็มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 300-400 Life Cycle (Life Cycle คืออายุการใช้งานของแบตเตอรี่นับจากการชาร์จตั้งแต่ 0-100% นับเป็นหนึ่งรอบ ,ถ้าชาร์จ 50-100% นับเป็น 0.5 รอบ) ถ้าเกินกว่านั้น แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมค่ะ
แบตเตอรี่เสื่อม2

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไว

โดยระยะเวลาในการเสื่อมของแบตเตอรี่ก็ยังมีปัจจัยอีกหลากหลายอย่างค่ะ เช่น
  • การใช้งานในพื้นที่ๆ มีความร้อนสูงซึ่งก็อาจทำให้แบตเตอรี่เกิดความร้อนสะสมสูง ซึ่งอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้
  • การที่ใช้งานแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงจนถึง 0% แล้วปล่อยให้เครื่องดับบ่อยๆ เพราะการชาร์จจาก 0% นั้น จะต้องใช้แรงดันไฟมากกว่าปกติ ทำให้แบตเตอรี่ร้อน และเสื่อมได้ไวกว่าปกติค่ะ ทางที่ดีควรเหลือแบตเตอรี่ไว้อย่างน้อย 20% ขึ้นไปค่ะ
  • เสื่อมตามอายุการใช้งาน แน่นอนทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นอนิจจังแบตเตอรี่ก็เช่นกัน เมื่อใช้ไปสัก 2 ปี ก็อาจจะเกิดการเสื่อมตามอายุการใช้งานได้ค่ะ
แบตเตอรี่เสื่อม3

Calibrate Battery คืนความสดใหม่ให้แบตเตอรี่

โดยวิธีแรกที่เราจะแนะนำนั้นจะเป็นการ Calibrate Battery ที่เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และไม่ต้องลงทุนเลยค่ะ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะไม่สามารถคืนสภาพแบตเตอรี่ได้เต็มร้อย แต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่น่าลองทีเดียว โดยมีหลักการง่ายๆ คือคลายประจุเพื่อให้แบตเตอรี่ได้กลับมาสดใหม่เหมือนออกมาจากโรงงานอีกครั้ง โดยการ Calibrate นั้น มีด้วยกันหลายแนวทาง แล้วแต่ว่าจะเป็นวิธีจากสำนักไหน แต่หลักการนั้นก็จะเหมือนๆ คือการชาร์จประจุให้เต็ม จากนั้นทำการคลายประจุให้หมด และกลับมาชาร์จไฟใช้งานตามปกติ แต่การทำนั้นต้องทำเป็นขั้นตอน ซึ่งมีวิธีดังนี้
  • ขั้นตอนที่หนึ่งให้ชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กจนเต็ม และเมื่อเต็มแล้วก็ให้ชาร์จต่อเนื่องไปอีกสักระยะนึงหรือราวๆ 30 นาที
  • ต่อด้วยถอดสายชาร์จออกจากเครื่อง แล้วใช้งานบนแบตเตอรี่ จนกว่าแบตเตอรี่ จะหมด หรืออาจจะให้แบตเตอรี่เหลือสัก 5-10% ก็ได้ค่ะ
  • จากนั้นปล่อยให้เครื่องหยุดทำงานไป เพื่อให้มีการคลายประจุอย่างเต็มที่ ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงหรือ อาจจะทิ้งค้างคืนไว้ก็ได้
  • หลังจากนั้นเปิดเครื่อง และเสียบปลั๊กชาร์จไฟให้เต็มร้อย แล้วใช้งานตามปกติต่อไป แนะนำว่าให้ชาร์จจนเต็ม 100% แล้วค่อยถอดสานชาร์จใช้งานนะคะถึงจะได้ผลดีที่สุด
  • หมายเหตุการ Calibrate นั้น ควรจะทำเดือนละหนึ่งครั้ง หรือราวๆ 30 Life Cycle แต่ไม่ควรทำถี่เกินไปเช่นอาทิตย์ละครั้งค่ะเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อม ได้
แบตเตอรี่เสื่อม4

ซื้อแบตเตอรี่แท้

วิธีต่อมาคือการซื้อแบตเตอรี่ตัวใหม่จากแบรนด์ผู้ผลิตค่ะ ซึ่งโดยปรกติจะสามารถติดต่อซื้อหาจากศูนย์บริการของผู้แทนจำหน่าย หรือหน้าร้านที่ซื้อเครื่องมาได้เลยค่ะ ซึ่งจะมีข้อดีตรงที่ได้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพดี และมั่นใจได้ด้วยการรับประกันคุณภาพในการใช้งาน แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงทีเดียวค่ะ
แบตเตอรี่เสื่อม5

ซื้อแบตเตอรี่เกรด AAA

หรือถ้างบน้อยหน่อยลองมองแบตเตอรี่เทียบเท่าเกรด AAA ก็ได้นะคะ สำหรับผู้ที่มีงบน้อย หรืออยากประหยัดงบประมาณ แต่ก็ควรใช้เวลาเลือกจากแหล่งจำหน่ายที่ไวใจได้ และอย่างน้อยๆ ควรมีการรับประกันอายุการใช้งานที่มากกว่า 6 เดือน และเลือกยี่ห้อมีชื่อเสียง รวมถึงตัวแบตเตอรี่ควรมีมาตราฐานอุตสาหกรรม หรือ ม.อ.ก. รับรองด้วยค่ะ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
แบตเตอรี่เสื่อม6

เปลี่ยน Cell แบตเตอรี่

วิธีสุดท้ายที่เป็นวิธีที่เสี่ยงมากที่เดียวคือการเปลี่ยน Cell แบตเตอรี่ ถ้าหากท่านไม่สามารถหาซื้อแบตเตอรี่ในแบบอื่นๆ ได้ การเปลี่ยน Cell แบตเตอรี่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวร้ายเท่าใดนัก โดยมีหลักการเปลี่ยน Cell แบตเตอรี่อย่างง่ายคือการแกะพลาสติกที่เป็นบอดี้ของตัวแบตเตอรี่ออก และเปลี่ยน Cell หรือไส้แบตเตอรี่มีลักษณะเป็นก้อนๆ คล้ายถ่านไฟฉาย ซึ่งจะมีร้านที่รับเปลี่ยน Cell แบตเตอรี่กระจายอยู่ตามห้าง IT ทั่วไปอยู่พอสมควร ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดงบประมาณมาก สามารถเปลี่ยนได้ทุกรุ่นที่ใช้ Lithium-ion แต่อย่างไรก็ดีต้องดูร้านที่น่าเชื่อถือหน่อยนะค่ะ เพราะการเปลี่ยน Cell แบตเตอรี่ค่อนข้างอันตรายหากตัวแบตเตอรี่ไม่ได้คุณภาพ และติดตั้งมาไม่ดี อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ซึ่งอย่างไรก็ดีทั้ง 4 วิธีที่ได้กล่าวไปก็ต้องก็แล้วแต่ตัวท่าน และงบประมาณกันแล้วละค่ะว่าจะเลือกกันแบบไหน แต่อย่างไรก็ดีอย่าลืมระมัดระวังกันด้วยนะคะถ้าท่านจะซื้อแบตเตอรี่แท้ เทียม หรือแม้แต่เปลี่ยน Cell ก็ต้องดูหน้าร้าน หรือเว็บไซด์ที่น่าเชื่อถือกันสักหน่อย ไม่งั้นอาจจะได้ของไม่ดีมาทำให้เกิดอันตรายกับเครื่องได้นะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
ที่มา : notebookspec